วิธีป้องกันแมลงเข้าบ้านหนึ่งในนั้นก็คือการติดมุ้งลวด

วิธีป้องกันแมลงเข้าบ้าน ใครกำลังมองหาวิธีป้องกันแมลงชนิดต่าง ๆ เข้ามาสร้างปัญหาภายในบ้าน อยากฝากวิธีป้องกันแมลงเข้าบ้านอย่างง่าย ๆ ไว้ให้ลองทำตามกันค่ะ

แมลงตัวเล็กตัวน้อยหลายชนิดดูไม่น่าจะมีพิษสงเท่าไร ทว่าเราก็เคยเห็นข่าวแมลงบุกยึดที่อยู่อาศัยของคนมาบ้างแล้ว ซึ่งก็ทำให้เห็นชัด ๆ เลยว่าเราไม่สามารถประมาทกับฝูงแมลงชนิดต่าง ๆ ได้เลย ดังนั้นเพื่อป้องกันแมลงเข้าบ้าน เรามาสร้างด่านป้องกันแมลงให้บ้านตามนี้กันดีกว่าค่ะ

1. ปิดช่องประตู

บานประตูมุ้งลวดหรือแม้แต่บานประตูชนิดไหน ๆ มักจะทิ้งระยะห่างระหว่างพื้นกับบานประตูเพื่ออำนวยความสะดวกเวลาปิด-เปิด ซึ่งจุดนี้เป็นช่องทางสำคัญที่แมลงและสัตว์ต่าง ๆ อาจล่วงล้ำเข้ามาในบ้านได้ ดังนั้นขั้นแรกให้หาเทปปิดร่องประตูหน้าต่างมาแปะที่ด้านล่างของประตูไว้ให้สนิท แต่ทั้งนี้ก็พยายามอย่าเปิดประตูทิ้งไว้บ่อย ๆ ด้วยนะคะ

2. ติดมุ้งลวด

สำหรับบ้านที่ประตูหน้าต่างเป็นแบบโปร่ง ควรติดตั้งมุ้งลวดเพื่อให้เป็นปราการป้องกันแมลงและสัตว์ชนิดต่าง ๆ บินเข้ามาในบ้าน ทั้งนี้เพื่อความชัวร์อาจเลือกติดมุ้งลวดที่มีความถี่มากหน่อย แมลงตัวเล็ก ๆ จะได้หมดโอกาสเล็ดลอดเข้ามาในบ้าน ส่วนแมลงตัวใหญ่ก็หมดสิทธิ์ตั้งแต่เราติดมุ้งลวดไปแล้วล่ะ

3. ดูแลสวนและต้นไม้เสมอ

ยิ่งมีธรรมชาติในบ้านมากเท่าไรก็เท่ากับว่ามีแมลงซุกซ่อนอยู่ภายใต้ธรรมชาติมากเท่านั้น ซึ่งเราคงไม่สามารถป้องกันแมลงเข้ามารบกวนสวนเราได้ เพียงแต่หากเราดูแลสวนและต้นไม้ไม่ให้รกและทึบก็จะช่วยลดจำนวนแมลงและสัตว์อื่น ๆ ลงไปโดยอัตโนมัติเท่านั้นเอง นั่นก็หมายความว่า เมื่อแหล่งเกิดแมลงน้อยลง โอกาสที่แมลงจะเข้ามาอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเราก็ลดลงไปด้วย

4. ซ่อมแซมรอยแตกทุกจุด

ความเสื่อมโทรมในบ้านประเภทรอยแตก หรือจุดชำรุดที่ทำให้เกิดช่องโหว่ทั้งหลายอาจเป็นจุดอันตรายที่แมลงสามารถฉวยโอกาสมาเยี่ยมเยียนเราถึงในบ้านได้เช่นกัน ฉะนั้นควรเดินสำรวจร่องรอยแตกแยก รูโบ๋ทุกจุดในบ้านอย่างถี่ถ้วน แล้วจัดการซ่อมแซมให้เรียบร้อย

5. อุดรูท่อ

ตามจุดท่อประปาในบ้านอาจมีช่องโหว่ระหว่างตัวท่อกับพื้นปูนอยู่บ้าง ซึ่งแมลงทั้งหลายอาจอาศัยช่องทางนี้ยกทัพเข้าสู่ตัวบ้านของเรา ดังนั้นหากคุณสำรวจแล้วพบว่ามีช่องโหว่ตามท่อต่าง ๆ ก็ควรโบกปูนหรือยาแนวปิดช่องโหว่นั้นซะ นอกจากนี้ควรหาแผ่นไม้หรือวัสดุหนัก ๆ มาปิดท่อระบายน้ำที่ไม่ได้ใช้งานเอาไว้ด้วย

การจัดวางของบนโต๊ะทำงาน

อุปกรณ์ เช่น เมาส์ แป้นพิมพ์ โทรศัพท์ ปากกา ดินสอ และอุปกรณ์สำนักงานอีกหลายชนิด เป็นอุปกรณ์ ที่ใช้บ่อย การจัดวางอุปกรณ์ที่ใช้บ่อยมีหลักการง่ายๆ ดังนี้

1. ของที่ใช้งานบ่อยควรอยู่ในพื้นที่ทำงานใกล้ตัว เช่น พนักงานรับโทรศัพท์ ต้องรับโทรศัพท์ตลอดเวลา ตำแหน่งของโทรศัพท์ควรอยู่ในพื้นที่ทำงานนี้

2. หากอุปกรณ์นั้นมีน้ำหนักเบาและใช้บ่อย แต่ไม่ถึงขนาดบ่อยมาก เช่น ปากกา และอุปกรณ์สำนักงานบางอย่าง อาจวางไว้ในพื้นที่ครึ่งวงกลมหยิบเอื้อมได้ โดยไม่ต้องลุกยืนเพราะเวลาจะใช้สามารถเอื้อมหยิบได้โดยไม่มีผลกระทบต่อกล้ามเนื้อและข้อต่อไหล่

3. อุปกรณ์ที่หนักแม้ไม่ใช้บ่อย ควรอยู่บริเวณพื้นที่ใกล้ขอบโต๊ะทำงานซ้ายหรือขวาใกล้ตัวผู้ใช้ไม่ควรให้อยู่ ลึกเข้าไปบนโต๊ะ เพราะการเอื้อมหยิบของหนักมีผลทำให้ไหล่ต้องทำงานหนัก และแรงกดต่อหมอนรองกระดูกสันหลังมากขึ้น ดังนั้นเวลาจะหยิบใช้สามารถลุกขึ้นยืนหรือเลื่อนเก้าอี้เข้าใกล้ซึ่งจะสะดวกแก่การหยิบได้

4. ของที่เบาแต่ขนาดใหญ่สามารถวางไว้บนส่วนลึกด้านในของโต๊ะทำงานได้เพราะการเอื้อมหยิบสามารถทำได้ โดยมีผลต่อไหล่และหลังไม่มากนัก

5. การจัดวางควรให้เหมาะกับลำดับของการทำงาน เช่น ถ้าต้องอ่านแล้วพิมพ์หรือเขียน ให้วางงานที่ต้องอ่านไว้ด้านซ้าย และอุปกรณ์ที่ใช้เขียนหรือพิมพ์ อยู่ตรงกลาง เพราะลักษณะของภาษาไทยต้องอ่านจากซ้ายมาขวา เวลาเขียนหรือพิมพ์ ก็จากซ้ายมาขวาเช่นกัน

6. วางอุปกรณ์ตามการใช้งานของมือ เช่น ถ้าใช้มือขวาเป็นหลัก อุปกรณ์ในการเขียน โทรศัพท์ อุปกรณ์ที่ใช้มือขวา ควรวางไว้ด้านขวา

การใช้ Google AdWords เพื่อผลลัพธ์การค้นหาที่ดียิ่งขึ้น

การใช้ Google AdWords เพื่อผลลัพธ์การค้นหาที่ดียิ่งขึ้น

หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของ Google AdWords คือการวิเคราะห์การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยให้เข้าใจว่าผู้ใช้ Google Search เชื่อมต่อกับธุรกิจออนไลน์อย่างไร นี่คือเหตุผลที่ Google มีรายงานเช่น ‘ภาพรวมการค้นหา’ และหนึ่งในวิธีใหม่ล่าสุดในการวิเคราะห์การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย “รายงานทั่วไป”

ก่อนหน้านี้รายงานการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ไม่แสดงผลการค้นหาทั่วไปและมีการจ่ายเงินพร้อมกัน ไม่มีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้เมื่อได้รับค่าจ้างและการค้นหาทั่วไปจึงทับซ้อนกัน เทคนิคใหม่โดย AdWords ช่วยให้คุณสามารถดูประสิทธิภาพการทำงานของข้อความค้นหาของผู้ใช้ แต่ยังสามารถเปรียบเทียบได้ด้วย

ในการเริ่มต้นให้เชื่อมโยงบัญชี AdWords กับบัญชีเครื่องมือของผู้ดูแลเว็บใด ๆ เมื่อมีการเชื่อมโยงบัญชีแล้วมีเทคนิคหลายอย่างที่สามารถนำไปใช้เพื่อแบ่งแยกการจ่ายเงินจากการค้นหาทั่วไปเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น มีการนำเสนอเทคนิคหลายอย่าง

1. ค้นพบคำหลักเพิ่มเติม – สามารถใช้รายงานเพื่อค้นหาคำหลักใหม่ ๆ และสามารถเพิ่มลงในบัญชี AdWords ได้เมื่อมองหาข้อความค้นหา

2. การเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงตนในข้อความค้นหามูลค่าสูง – สามารถใช้รายงานนี้เพื่อปรับปรุงสถานะในผลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้คุณยังสามารถตรวจสอบคำค้นหาที่มีมูลค่าสูงสำหรับผลการค้นหาทั่วไปทั้งหมด

– เมื่อคุณทดสอบการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณสำหรับงบประมาณคำหลักและราคาเสนอคุณสามารถรายงานผลกระทบจากการเข้าชมรวมการเรียกเก็บเงินและการเข้าชมทั่วไปแบบอินเทอร์แอกทีฟได้อย่างง่ายดาย

ต่อไปนี้เป็นเทคนิคเพิ่มเติมในการวิเคราะห์การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย

การตลาด

ใช้การตลาดเพื่อวิเคราะห์แคมเปญการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย ศึกษากลยุทธ์ทางการตลาดของคู่แข่งของคุณโดยไปที่เว็บไซต์ของตน เข้าใจข้อความและเทคนิคที่ใช้ในการสร้างแคมเปญที่ไม่เหมือนใคร

การเปลี่ยนแปลง

การวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นสิ่งสำคัญมากในการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตามนักการตลาดจำนวนมากไม่ทำเช่นนี้ คุณต้องชัดเจนในความแตกต่างของคุณ อะไรคือปัจจัยที่ทำให้คุณโดดเด่นจากคนอื่น? จะมีโฆษณาจำนวนมากที่ให้ผลประโยชน์เหมือนกัน ดังนั้นสิ่งที่ทำให้แคมเปญของคุณแตกต่างไปจากนี้ ความแตกต่างนี้เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคหรือไม่?

ส่วนขยาย

ตรวจสอบส่วนขยายที่คู่แข่งใช้อยู่ ส่วนขยายเหล่านี้สามารถใช้สำหรับตำแหน่งลิงก์ไซต์หรือผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ Google AdWords ยังมีส่วนขยาย หากคู่แข่งของคุณใช้นามสกุลแล้วคุณควรพิจารณาใช้ นี่เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการได้รับความสนใจมากขึ้นในหน้าใดหน้าหนึ่งโดยมีค่าใช้จ่ายสัมพัทธ์เดียวกัน แม้ว่าคู่แข่งของคุณจะไม่ใช้ส่วนขยายคุณต้องใช้พวกเขาเนื่องจากพวกเขาช่วยให้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เชิงดิจิทัลมากขึ้น

หน้า Landing Page

เยี่ยมชมเว็บไซต์คู่แข่งของคุณและตรวจทานหน้า Landing Page ของพวกเขา มีหน้า Landing Page อะไรบ้าง? หน้าเว็บของบุคคลเหล่านี้มีการปรับแต่งและเป็นหน้า Landing Page ที่สอดคล้องกับการค้นหาหรือไม่

วิธีการเลือกซื้อที่นอนเด็กทารกที่เหมาะสมในช่วงหน้าหนาว

เด็กแรกเกิดต้องใส่ใจในทุกเรื่อง โดยเฉพาะ ที่นอนเด็ก ที่ต้องมีความนุ่มที่พอดี สะอาดและให้ความปลอดภัยในยามหลับแก่เด็กน้อยได้ดี การเลือกซื้อจึงจำเป็นที่จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ยิ่งช่วงนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วก็ต้องเน้นการซื้อ ที่นอนเด็กแรกเกิด ที่มีความหนานุ่มเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะฟูก หมอน หรือผ้าห่มก็ควรมีการเลือกสรรมาเป็นอย่างดี เน้นการใช้งานที่ให้ความปลอดภัยแก่ตัวเด็กเป็นหลัก ส่วนเรื่องของความหนาก็ต้องเลือกให้พอดี เพื่อไม่ให้เด็กรู้สึกอึดอัดมากจนเกินไป บางครั้งเรื่องที่ดูเล็กๆ อย่างที่นอนเด็กทารกก็อาจจะทำให้ผู้ใหญ่ต้องปวดหัวได้เช่นกัน
ที่นอนเด็กแรกเกิดสิ่งที่ต้องใส่ใจทุกครั้งที่เลือกซื้อ

การเลือกซื้อที่นอนเด็กแรกเกิดบางครั้งก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตเล็กๆ จำเป็นที่จะต้องคัดสรรของดีมีคุณภาพในทุกเรื่องและต้องพิถีพิถันในการรักษาความสะอาดทุกขั้นตอน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายมากนักที่จะเลือกซื้อที่นอนเด็กในวัยแบเบาะได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเมื่ออากาศเริ่มเย็นลงจากฤดูหนาวที่เข้ามาเยือนแล้ว การเลือกที่นอนเด็กอ่อนจึงเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมาทันที ใครที่กำลังมองหาวิธีการเลือกซื้อที่นอนเด็กทารกที่เหมาะสมในช่วงหน้าหนาว ลองมาดูคุณสมบัติที่ดีของที่นอนเด็กดังนี้

ฟูกที่ถือว่าเป็นหัวใจของที่นอนเด็กทารก ต้องไม่นิ่มมากจนเกินไป เพื่อความปลอดภัยแก่ตัวเด็กทารกควรมีความแน่นของเนื้อฟูกพอสมควร เป็นการป้องกันไม่ให้เด็กต้องจมลงไปในที่นอนจนอาจจะทำให้หายใจไม่ออกได้
หมอนสำหรับเด็กควรมีเพียงแค่ 2 ใบเท่านั้น อย่ามากไปกกว่านี้และไม่ควรมีตุ๊กตามากจนเต็มที่นอน เพราะอาจจะทำให้ไปปิดหน้าของเด็ก จนกลายเป็นการไปขวางการหายใจของเด็กได้นั่นเอง
มุ้งครอบมีไว้เพื่อป้องกันยุงและแมลงต่างๆ รบกวน ควรใช้เป็นมุ้งที่ตาไม่ถี่มากนัก ต้องถ่ายเทอากาศได้ดี ไม่เป็นฝุ่นหรือเศษผ้าหลุดติดออกมา
ผ้าปูที่นอนเด็กควรมีเตรียมเอาไว้เปลี่ยนประมาณ 4 ผืน เปลี่ยนอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อรักษาความสะอาดและป้องกันฝุ่นที่อาจจะติดอยู่กับที่นอน และถ้ามีการใช้ผ้ายางกับที่นอนเด็กทารกก็ควรใช้เป็นผ้ายางที่มีผ้าฝ้ายบุทับอีกชั้น เพื่อไม่ทำให้การขยับตัวของเด็กมีความยากขึ้น จนไปรบกวนการนอนของเด็กน้อยในยามค่ำคืน
ผ้าห่มเด็กเน้นเป็นผ้าฝ้ายหรือผ้านาโนที่ไม่หนาแต่ก็ไม่บางจนเกินไป เพราะเด็กเล็กรูขุมขนยังไม่พัฒนาเท่าผู้ใหญ่ จึงไม่ควรให้ร้อนหรือหนาวมากไป และควรมีสำรองไว้ใช้งานประมาณ 2 ผืน เพื่อสับเปลี่ยนเมื่อเวลาที่ต้องนำไปซัก

หลักการเลือกซื้อเครื่องสำอางราคาถูกที่เหมาะสม

1. เลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวหน้า

อย่าลืมพกสติก่อนเข้าไปซื้อเครื่องสำอางทุกๆ ครั้ง เพราะจุดมุ่งหมายของการซื้อจะต้องซื้อให้ตรงตามจุดประสงค์ของการใช้งานและความเหมาะสมของใบหน้าเรา ไม่ใช่เลือกซื้อเพราะราคาที่ถูกลง จนทำให้เรามีเครื่องสำอางชนิดเดิมๆ อยู่เกลื่อนห้อง กลายเป็นการเสียเงินแบบไร้ค่า ทำให้เราไม่สามารถใช้งานเครื่องสำอางของเราได้อย่างคุ้มค่าอีกด้วย

2. คำนวนค่าใช้จ่ายการซื้อให้เหมาะสมกับเงินที่มี

เลือกซื้อเครื่องสำอางให้เหมาะสมตามฐานะและสภาพทางเศรษฐกิจของตนเอง โดยอาจจะคำนึงว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางแบรนด์ระดับโลกเสมอไป เพราะราคาที่แพงของมันมาจากการนำเข้าที่ต้องเสียภาษี มาจากความนิยม ทำให้ผู้ผลิตสามารถขึ้นราคาได้สูงขึ้น ซึ่งคุณภาพและสรรพคุณในการใช้งานของมันอาจจะเท่าเทียมกันกับเครื่องสำอางที่ผลิตขึ้นในประเทศไทยเราเองก็เป็นได้

3. ร้านที่ขายต้องน่าเชื่อถือ ไว้วางใจได้

เลือกซื้อเครื่องสำอางจากแหล่งขายที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันสินค้าปลอมแปลง อีกทั้งเมื่อเครื่องสำอางมีปัญหาเกิดขึ้นก็ทำให้เราสามารถนำกลับไปตรวจสอบและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ง่าย

4. อ่านรายละเอียดผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อเสมอ

อ่านฉลากสินค้าทุกครั้งก่อนการซื้อ และตัวเครื่องสำอางควรจะมีฉลากภาษาไทยติดเอาไว้อย่างละเอียดและชัดเจน พร้อมทั้งมีการบอกวิธีใช้ คำเตือน ส่วนผสม แหล่งผลิต วันผลิตและวันหมดอายุ

5. อย่ามัวแต่หลงเชื่อตามคำโฆษณาเกินจริง

ไม่ซื้อเครื่องสำอางราคาถูกตามคำเชิญชวนของโฆษณาเพียงอย่างเดียว เพราะการโฆษณาเป็นเพียงการโน้มน้าวและสร้างแรงดึงดูดกับผู้บริโภคเท่านั้น ซึ่งบางยี่ห้อก็มีการบอกกล่าวสรรพคุณเกินความจริง และอาจจะมีส่วนผสมของสารอันตรายอยู่ภายในจนทำให้เราเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงขึ้นมาได้

ดังนั้น ผู้บริโภคทั้งหลายที่รักสวยรักงามอย่าพึ่งรีบร้อนไปกับเครื่องสำอางราคาถูกที่มีสรรพคุณครอบจักรวาล หรือมีราคาถูกดูคุ้มค่า เพราะสิ่งที่เราเห็นว่ามันดีนั้นอาจจะแฝงอยู่ด้วยอันตราย จนกลายเป็นความไม่คุ้มค่าที่หนักหนามากขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้

ดัมเบลเพื่อให้การออกกำลังของคุณเป็นไปอย่างปลอดภัย

ในการเริ่มต้นออกกำลังกาย ให้ตั้งใจและใส่ใจกับวิธีการมากกว่าจำนวนครั้งในการทำท่าบริหาร. เพื่อให้การออกกำลังของคุณเป็นไปอย่างปลอดภัยและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อกล้ามเนื้อของคุณ ให้คุณใส่ใจและค่อยๆ ทำท่าบริหารอย่างถูกวิธี ไม่ใช่รีบทำเพียงเพื่อให้ครบจำนวนครั้งของการบริหาร ทั้งนี้เพราะน้ำหนักของดัมเบลก่อให้เกิดการตึงของกล้ามเนื้อ จึงต้องการการรักษาระดับของการทำท่าบริหารที่มั่นคงและการออกแรงต้านของกล้ามเนื้อที่เพียงพอ การเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ และถูกวิธีจึงจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมการทำท่าบริหารและจดจ่อไปที่กล้ามเนื้อส่วนที่คุณต้องการได้

การทำท่าบริหารอย่างช้าๆ ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและบริหารร่างกายได้ดีกว่า เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อส่วนที่บริหารอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคง สามารถรองรับน้ำหนักในขณะทำท่าบริหารและบริหารร่างกายได้นานขึ้น
ในขณะทำท่าบริหาร ให้ระวังอย่าใช้อวัยวะส่วนอื่นมาทุ่นแรงกล้ามเนื้อส่วนที่คุณต้องการบริหาร ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้งใจที่จะบริหารกล้ามเนื้อแขนในท่า bicep curl ก็ให้แน่ใจว่าคุณใช้กล้ามเนื้อแขนในการออกแรงยก และอยู่ในท่าทางที่ถูกต้อง ไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อหลังช่วยออกแรง

เพิ่มเติม : https://th-th.facebook.com/beachbodyone/