ผ่าต้อกระจก (Cataract Surgery) เป็นการผ่าตัดนำเลนส์ตาที่ขุ่นออก เพื่อใส่เลนส์แก้วตาเทียมทดแทน ทำให้ผู้ป่วยสามารถมองเห็นได้ชัดขึ้นจากปัญหาทางด้านสายตา สายตาพร่ามัว มองได้ไม่ชัด หรือแพ้แสงจ้าของโรคต้อกระจก
การผ่าตัดต้อกระจกมีหลายวิธี แต่วิธีที่เป็นมาตรฐานของการรักษาในโรงพยาบาลหรือศูนย์ผ่าตัดเป็นการผ่าตัดที่เรียกว่า ฟาโคอีมัลซิฟิเคชัน (Phacoemulsification) โดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง หรืออัลตราซาวด์ (Ultrasound) เข้าไปสลายต้อกระจกให้มีขนาดเล็กก่อนจะดูดออกมา จากนั้นจึงมีการใส่เลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lens: IOL) เข้าไปทดแทน การผ่าตัดสลายต้อกระจกวิธีนี้จะทำให้เกิดแผลที่มีขนาดเล็กมาก และไม่ต้องมีการเย็บปิดแผล
เมื่อไหร่ต้องเข้ารับการผ่าต้อกระจก
การผ่าตัดจะช่วยรักษาอาการของโรคต้อกระจกที่ทำให้เกิดปัญหาในการมองเห็น แต่ไม่จำเป็นต้องรับการผ่าตัดทันทีที่แพทย์วินิจฉัยพบว่าเป็นโรค โดยเฉพาะในผู้ที่ยังมีสายตาปกติ ไม่มีปัญหาทางด้านการมองเห็น แต่แพทย์มักจะแนะนำการผ่าตัดในกรณีที่อาการของโรคมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป การทำงาน หรือรบกวนการรักษาความผิดปกติทางสายตาอื่น ๆ เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมหรือภาวะเบาหวานขึ้นจอตา ทำให้ยากต่อการวินิจฉัยของแพทย์
อย่างไรก็ตามการไม่มีหลักเกณฑ์ว่าการมองเห็นระดับใดที่ควรเข้ารับการรักษาโดยการผ่าต้อกระจก การผ่าตัดจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ป่วยเป็นหลัก หรืออาจพิจารณาด้วยคำถามต่อไปนี้ก่อนเลือกการเข้ารับการผ่าตัด
คุณสามารถมองเห็นได้ชัดเจนขณะทำงานหรือขับรถหรือไม่ ?
คุณมีปัญหาในการอ่านหนังสือหรือดูโทรทัศน์หรือไม่ ?
คุณมีความยากลำบากในการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือไม่ เช่น ทำอาหาร ซื้อของ ทำสวน การรับประทานยา ?
ปัญหาทางด้านสายตาส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตตามลำพังหรือไม่ ?
ดวงตาแพ้แสงจ้าหรือมองเห็นในที่มีแสงมากได้ยากลำบากหรือไม่ ?
ข้อห้ามของการผ่าต้อกระจก
การผ่าตัดเป็นวิธีที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย แต่อาจเป็นข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยที่มีสภาวะร่างกายไม่พร้อมต่อการเข้ารับการผ่าตัดในบางกรณี เช่น โรคเรื้อรังบางชนิดที่อาจต้องพิจารณาความรุนแรงของโรคที่เป็นร่วมอยู่ด้วย เงื่อนไขทางการแพทย์บางประการ การผ่าตัดไม่ช่วยแก้ไขปัญหาทางสายตาให้ดีขึ้น ตลอดจนความสมัครใจของผู้ป่วยในการผ่าต้อกระจก ซึ่งต้องคำนึงถึงความเสี่ยงในการสูญเสียทางสายตาเป็นหลัก
ขั้นตอนในการผ่าต้อกระจก
ในขั้นแรกแพทย์จะหยอดยาชาหรือฉีดยาชาบริเวณรอบดวงตา บางรายอาจให้ยาระงับความเจ็บปวดหรือยาที่ช่วยให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นในระหว่างการผ่าตัด จึงทำให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดมีความรู้สึกตัวตลอดเวลา มองเห็นการเคลื่อนไหว หรือแสงในระหว่างการผ่าตัดได้
จากนั้นแพทย์จะมีการกรีดกระจกตาให้เกิดช่องขนาดเล็กมากสำหรับสอดเครื่องมือทางการแพทย์ ก่อนจะปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงในการสลายต้อกระจกแล้วดูดออก ก่อนใส่เลนส์ตาเทียม (แก้วตาเทียม) เข้าไปแทนที่เลนส์ตาเดิมที่เกิดภาวะขุ่นมัว
หลังการผ่าต้อกระจกเสร็จสิ้นลง แพทย์จะให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดใส่ที่ครอบตาป้องกันดวงตา และอยู่พักฟื้นในห้องประมาณ 15-30 นาที จึงสามารถกลับบ้านได้ตามปกติ หากผู้เข้ารับการผ่าตัดเป็นโรคต้อกระจกทั้ง 2 ข้าง การผ่าต้อกระจกจะทำทีละข้าง โดยอาจทิ้งระยะเวลาในการผ่าตัดแต่ละครั้งห่างกันประมาณ 2-3 สัปดาห์ เพื่อรอให้ดวงตาข้างที่ผ่าตัดมีอาการดีขึ้นก่อน