ความรู้เรื่องการตลาดสำหรับธุรกิจ

การตลาดเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจใดๆ มันเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการขายและการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการให้กับลูกค้าที่มีศักยภาพ กลยุทธ์ทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จสามารถช่วยให้ธุรกิจเพิ่มการมองเห็น ดึงดูดลูกค้าใหม่ และเพิ่มรายได้ในที่สุด

มีเทคนิคทางการตลาดมากมายที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้ได้ เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ และการส่งเสริมการขาย อย่างไรก็ตาม ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน หนึ่งในเครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญที่สุดคือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหา (SEO) SEO คือกระบวนการปรับปรุงการแสดงผลของเว็บไซต์ในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERPs) ผ่านเทคนิคต่างๆ เช่น การวิจัยคำหลัก การเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา และการสร้างลิงก์

การว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO หรือเอเจนซี่อาจเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับธุรกิจ มืออาชีพ SEO ที่มีประสบการณ์สามารถช่วยธุรกิจสร้างกลยุทธ์ SEO ที่กำหนดเองซึ่งปรับให้เหมาะกับความต้องการและเป้าหมายเฉพาะ พวกเขายังสามารถดำเนินการและติดตามกลยุทธ์เพื่อให้แน่ใจว่ามีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การจ้างผู้เชี่ยวชาญช่วยให้ธุรกิจประหยัดเวลาและทรัพยากร เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาค้นคว้าและใช้เทคนิค SEO ด้วยตนเอง

โดยรวมแล้ว การลงทุนใน SEO เป็นวิธีที่ชาญฉลาดสำหรับธุรกิจใดๆ สามารถช่วยเพิ่มการมองเห็น ดึงดูดลูกค้าใหม่ และผลักดันการเติบโตของรายได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่า SEO เป็นกระบวนการต่อเนื่อง และธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องติดตามเทคนิคและเทรนด์ล่าสุดอยู่เสมอเพื่อให้สามารถแข่งขันได้

การใช้ Google AdWords เพื่อผลลัพธ์การค้นหาที่ดียิ่งขึ้น

การใช้ Google AdWords เพื่อผลลัพธ์การค้นหาที่ดียิ่งขึ้น

หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของ Google AdWords คือการวิเคราะห์การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยให้เข้าใจว่าผู้ใช้ Google Search เชื่อมต่อกับธุรกิจออนไลน์อย่างไร นี่คือเหตุผลที่ Google มีรายงานเช่น ‘ภาพรวมการค้นหา’ และหนึ่งในวิธีใหม่ล่าสุดในการวิเคราะห์การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย “รายงานทั่วไป”

ก่อนหน้านี้รายงานการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ไม่แสดงผลการค้นหาทั่วไปและมีการจ่ายเงินพร้อมกัน ไม่มีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้เมื่อได้รับค่าจ้างและการค้นหาทั่วไปจึงทับซ้อนกัน เทคนิคใหม่โดย AdWords ช่วยให้คุณสามารถดูประสิทธิภาพการทำงานของข้อความค้นหาของผู้ใช้ แต่ยังสามารถเปรียบเทียบได้ด้วย

ในการเริ่มต้นให้เชื่อมโยงบัญชี AdWords กับบัญชีเครื่องมือของผู้ดูแลเว็บใด ๆ เมื่อมีการเชื่อมโยงบัญชีแล้วมีเทคนิคหลายอย่างที่สามารถนำไปใช้เพื่อแบ่งแยกการจ่ายเงินจากการค้นหาทั่วไปเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น มีการนำเสนอเทคนิคหลายอย่าง

1. ค้นพบคำหลักเพิ่มเติม – สามารถใช้รายงานเพื่อค้นหาคำหลักใหม่ ๆ และสามารถเพิ่มลงในบัญชี AdWords ได้เมื่อมองหาข้อความค้นหา

2. การเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงตนในข้อความค้นหามูลค่าสูง – สามารถใช้รายงานนี้เพื่อปรับปรุงสถานะในผลการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้คุณยังสามารถตรวจสอบคำค้นหาที่มีมูลค่าสูงสำหรับผลการค้นหาทั่วไปทั้งหมด

– เมื่อคุณทดสอบการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณสำหรับงบประมาณคำหลักและราคาเสนอคุณสามารถรายงานผลกระทบจากการเข้าชมรวมการเรียกเก็บเงินและการเข้าชมทั่วไปแบบอินเทอร์แอกทีฟได้อย่างง่ายดาย

ต่อไปนี้เป็นเทคนิคเพิ่มเติมในการวิเคราะห์การค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย

การตลาด

ใช้การตลาดเพื่อวิเคราะห์แคมเปญการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย ศึกษากลยุทธ์ทางการตลาดของคู่แข่งของคุณโดยไปที่เว็บไซต์ของตน เข้าใจข้อความและเทคนิคที่ใช้ในการสร้างแคมเปญที่ไม่เหมือนใคร

การเปลี่ยนแปลง

การวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นสิ่งสำคัญมากในการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตามนักการตลาดจำนวนมากไม่ทำเช่นนี้ คุณต้องชัดเจนในความแตกต่างของคุณ อะไรคือปัจจัยที่ทำให้คุณโดดเด่นจากคนอื่น? จะมีโฆษณาจำนวนมากที่ให้ผลประโยชน์เหมือนกัน ดังนั้นสิ่งที่ทำให้แคมเปญของคุณแตกต่างไปจากนี้ ความแตกต่างนี้เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคหรือไม่?

ส่วนขยาย

ตรวจสอบส่วนขยายที่คู่แข่งใช้อยู่ ส่วนขยายเหล่านี้สามารถใช้สำหรับตำแหน่งลิงก์ไซต์หรือผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ Google AdWords ยังมีส่วนขยาย หากคู่แข่งของคุณใช้นามสกุลแล้วคุณควรพิจารณาใช้ นี่เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการได้รับความสนใจมากขึ้นในหน้าใดหน้าหนึ่งโดยมีค่าใช้จ่ายสัมพัทธ์เดียวกัน แม้ว่าคู่แข่งของคุณจะไม่ใช้ส่วนขยายคุณต้องใช้พวกเขาเนื่องจากพวกเขาช่วยให้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เชิงดิจิทัลมากขึ้น

หน้า Landing Page

เยี่ยมชมเว็บไซต์คู่แข่งของคุณและตรวจทานหน้า Landing Page ของพวกเขา มีหน้า Landing Page อะไรบ้าง? หน้าเว็บของบุคคลเหล่านี้มีการปรับแต่งและเป็นหน้า Landing Page ที่สอดคล้องกับการค้นหาหรือไม่

การตลาดมีความสำคัญสำหรับการทำธุรกิจ

องค์กรธุรกิจที่ประสบความสำเร็จซึ่งเป็นที่รู้จักและทราบกันดีอยู่แล้วนั้นอาจกล่าวได้ว่าเกิดจากการวางแผน การบริหารและปฏิบัติการที่ดีจากหน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์กร ซึ่งล้วนแต่มีบทบาทและมีความผสมผสานอย่างดียิ่งแต่บทบาทที่นำเด่นขององค์กรเหล่านี้คือการตลาด และมีการใช้การตลาดเป็นแรงผลักเคลื่อนองค์กรกล่าวคือ องค์กรเหล่านี้มีการศึกษาความต้องการของลูกค้า เรียนรู้และใกล้ชิดกับลูกค้าตลอดเวลา มีการนำเสนอสินค้า/บริการอย่างมีคุณภาพและมีคุณค่าอย่างต่อเนื่อง สร้างสัมพันธภาพกับลูกค้าจนลูกค้าเกิดความจงรักภักดีในระยะยาว

ความสำคัญของการตลาด (The Importance of Marketing)

การตลาดในโลกธุรกิจยุคปัจจุบันมีความสำคัญยิ่ง ธุรกิจหรือองค์กรทุกแห่งต้องมีฝ่ายการตลาดหรือฝ่ายขายซึ่งจะทำหน้าที่ในการวิเคราะห์หาโอกาสทางการตลาด วางแผนและปฏิบัติการหรือดำเนินงานด้านการตลาดเพื่อเสนอสินค้าและบริการแก่ลูกค้า และตลาดเป้าหมายของตนเองโดยใช้เครื่องมือ และทรัพยากรต่าง ๆ ขององค์กรให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ความสำคัญของการตลาดในธุรกิจแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันตามลักษณะของธุรกิจดังนี้

ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Markets)

ตลาดประเภทนี้ผู้ซื้อจะกระจายอยู่ทั่ว ๆ ไป กิจการจะเสนอสินค้าหรือบริการในวงกว้างและจำนวนมาก ๆตัวอย่างเช่น สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป สบู่ ผงซักฟอกของสินค้า เครื่องดื่มน้ำอัดลม ล้วนแต่ต้องใช้เวลาและความอุตสาหะเพื่อจะพัฒนาภาพลักษณ์ในตรายี่ห้อของสินค้า โดยเริ่มตั้งแต่การมีตลาดเป้าหมายที่ชัดเจนและวิเคราะห์ว่าจะเสนอสินค้า/บริการอะไรเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายนี้ ตลอดจนสื่อสารให้ทราบถึงตำแหน่งของตรายี่ห้อ จุดแข็งของตรายี่ห้อของสินค้าประเภทนี้ขึ้นกับการพัฒนา และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ดี และมีลักษณะรูปแบบตรงกับที่ผู้บริโภคต้องการ ในการบริหารตลาดสินค้าอุปโภคและบริโภคนี้ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ รูปร่าง ลักษณะ ระดับคุณภาพ การครอบคลุมตลาดและค่าใช้จ่ายด้านการส่งเสริมการตลาดว่าจะสามารถทำให้ตรายี่ห้อสินค้าของเราอยู่ในลำดับต้น ๆ ได้อย่างไร

ตลาดธุรกิจ (Business Market)

กิจการมีการขายสินค้าธุรกิจและบริการแก่ลูกค้าเพื่อนำสินค้าไปขายต่อหรือเป็นส่วนประกอบในการผลิตต่อส่วนมากจะขายและสื่อสารโดยใช้พนักงานขายที่ผ่านการอบรมหรือมีประสบการณ์มาแล้ว ซึ่งพนักงานขายต้องพยายามอธิบายและสื่อข่าวสาร หรือสาธิตเพื่อให้ผู้ซื้อเห็นคุณค่าว่าสินค้าดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ในแง่การทำกำไรเชิงธุรกิจแก่ผู้ซื้อได้อย่างไร การตลาดสำหรับธุรกิจประเภทนี้แม้ว่าจะมีการใช้โฆษณาเพื่อเป็นเครื่องมือทางการตลาดแล้วก็ตาม แต่บทบาทที่สำคัญยิ่งคือการใช้พนักงานขาย การตั้งราคา ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของกิจการ ตลอดจนคุณภาพสินค้าและการบริการที่นำเสนอแก่ลูกค้า

ตลาดโลก (Global Market)

กิจการที่มีการเสนอสินค้าสู่ตลาดโลกนั้นต้องเผชิญกับการตัดสินใจและความท้าทายต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกตลอดเวลา โดยต้องทำการตัดสินใจว่าจะเข้าสู่ตลาดประเทศใด ด้วยรูปแบบหรือวิธีการอย่างไรเช่นการส่งออก การเป็นหุ้นส่วน หรือลงทุนโดยตรงในประเทศนั้น ๆ องค์กรต้องตัดสินใจว่าจะปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าและการสื่อสารกับตลาดในแต่ละประเทศอย่างไร และกิจการต้องเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญกับกฎระเบียบข้อบังคับ ความแตกต่างด้านวัฒนธรรม กระแสการคุกคามของเศรษฐกิจในแต่ละประเทศที่จะเข้าตลาด

ตลาดองค์กรที่ไม่มุ่งหวังกำไร (Nonprofit Organization Market)

องค์กรเหล่านี้ได้แก่ สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาล กิจการมักจะเสนอขายแก่หน่วยงานเหล่านี้โดยวิธีการประมูล ซึ่งต้องเสนอราคาอย่างระมัดระวังเนื่องจากมักมีคู่แข่งขันร่วมในการเสนอราคาด้วย ขณะเดียวกันการเสนอสินค้าต้องคำนึงถึงคุณภาพ และข้อกำหนดคุณสมบัติตามที่หน่วยงานนั้น ๆต้องการ

รูปแบบทางการตลาด (Marketing Model) ที่เข้าใจได้ง่ายๆ

รูปแบบทางการตลาด (Marketing Model) ที่เข้าใจได้ง่ายๆ และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในระดับของกิจการระดับSMEs อย่างไรได้บ้าง เพื่ออย่างน้อยช่วยให้เถ้าแก่มือใหม่ได้กลั่นกรองแนวคิดธุรกิจให้ตั้งอยู่บน พื้นฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดทางการตลาด

1. รู้ตลาด-รู้คู่แข่ง นี่คือโจทย์ข้อแรกที่ต้องคำนึงถึง ต้องมีความเข้าใจว่าประเภทสินค้า (Product Category) นี้ตลาดมีลักษณะอย่างไรบ้าง มีการเติบโตในแนวทางที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ลักษณะตลาดมีแบ่งเป็นส่วนๆProduct Category) นี้ ตลาดมีลักษณะอย่างไรบ้าง มีการเติบโตในแนวทางที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ลักษณะตลาดมีแบ่งเป็นส่วนๆ (Segmentation) อย่างไรบ้าง สินค้าเรามีคุณลักษณะที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีกว่าคู่แข่ง อย่างไร จุดขาย (Selling Point) ที่เราจะเสนอนั้นกลุ่มเป้าหมายจะเห็นคุณค่ามากน้อยแค่ไหน

2. รู้จักลูกค้า เถ้าแก่มือใหม่ร้อยละ 90 เข้ามาด้วยความคิดเต็มหัวซึ่งเป็นเรื่องของตัวเองและสิ่งที่ตนเองจะทำ ในขณะที่ความเข้าใจต่อลูกค้าและพฤติกรรมการซื้อของลูกค้ามีน้อยมาก เช่น ช่องทางการขายหลักของสินค้าประเภทนี้อยู่ที่ไหน อะไรคือสิ่งบันดาลใจ (Motive) ให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างภาพลักษณ์สินค้าให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย คำตอบลักษณะนี้จะต้องถูกตรวจสอบเสียก่อน เพื่อให้เห็นภาพของกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน

3. รู้จักเลือกตลาด มีความเข้าใจผิดว่ายิ่งเลือกตลาดที่กว้างใหญ่เท่าไร ก็ยิ่งจะทำให้มีโอกาสขายมากเท่านั้น ธุรกิจระดับ SMEs นั้นการเจาะจงส่วนของตลาดที่เฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ได้ชัดเจนเท่าไรจะยิ่งทำให้การใช้ทรัพยากรทางการตลาดได้ผลลัพธ์เต็มเม็ดเต็ม หน่วยมากเท่านั้น เช่น เรารู้ว่ามีผู้ที่ต้องการดื่มน้ำนมถั่วเหลืองที่ให้รสชาติเข้มข้นกว่าในท้อง ตลาด เพราะเชื่อว่าจะได้คุณค่าของโปรตีน-แร่ธาตุสูงกว่า กลุ่มเป้าหมายของเราก็จะแคบเข้า เป็นลูกค้าที่ต้องการเครื่องดื่มที่เข้มข้นกว่าในตลาด คนกลุ่มนี้ก็จะเป็นผู้รักษาสุขภาพ ต้องการอาหารที่ดีมีประโยชน์ หรือต้องการซื้อให้คนในครอบครัวรับประทาน โอกาสทางตลาดของธุรกิจน้ำนมถั่วเหลืองที่มีกระบวนการผลิตที่ให้รสชาติเข้ม ข้นและยังคงรักษาโปรตีน-แร่ธาตุไว้ก็จะเกิดขึ้น

4. รู้วิธีการสื่อสาร (Key Message) เมื่อเราสามารถกำหนดตลาดได้ รู้ความต้องการของลูกค้าและเราตอบสนองได้ก็มาถึงการพัฒนาแนวคิด (Concept) ว่ากลุ่มเป้าหมายน่าจะรู้จักเราในภาพลักษณ์แบบใด โดยตั้งคำถามนำในลักษณะที่ว่า กลุ่มเป้าหมายจะได้ประโยชน์ (Product Attribute) อย่างไรบ้าง หรืออะไรคือความคาดหวังจากกลุ่มเป้าหมายต่อสินค้าของเรา คำอธิบายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเราแบบใดที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจได้ง่าย ที่สุด นอกจากนี้กลยุทธ์ประเภทปากต่อปาก (Buzz Marketing) ก็เป็นวิธีการสื่อสารที่ได้ผลโดยเฉพาะกับธุรกิจ SMEs ซึ่งเราจะต้องกำหนดกลุ่มคนที่จะเป็นผู้นำ (Referral) ในการเป็นกระบอกเสียงให้ผลิตภัณฑ์ของเรา เช่น การจัดตั้งชมรมผู้ดื่มน้ำนมถั่วเหลืองเพื่อสุขภาพในสถานที่ต่างๆ อาจเป็นโรงพยาบาล สวนสาธารณะ ฯลฯ

เคล็ดลับต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นอย่างย่อ-สั้น-กระชับ เพื่อให้เถ้าแก่มือใหม่ลองกลับไปคิดทบทวนว่าโครงการที่กำลังคิดอยู่นั้น สามารถตอบคำถามและนำมาปฏิบัติจริงได้มากน้อยอย่างไร